ผ่าตัดหัวเข่า ทางเลือกใหม่ของผู้ปวดเข่าเรื้อรัง
ศูนย์ : ศูนย์กระดูกและข้อ
บทความโดย : นพ. นิธิวุฒิ ปิ่นสิรานนท์

อาการปวดเข่าเรื้อรังไม่เพียงส่งผลต่อการเคลื่อนไหว แต่ยังลดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว ทั้งจากโรคข้อเข่าเสื่อม การบาดเจ็บสะสม หรือภาวะเสื่อมตามอายุ แม้การรักษาด้วยยา การทำกายภาพบำบัด และการปรับพฤติกรรมจะช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะแรก แต่สำหรับบางราย การผ่าตัดหัวเข่าอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในระยะยาว
ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้การผ่าตัดหัวเข่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวล โดยเฉพาะการนำเทคนิคระงับปวดมาใช้ร่วมกับการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการปวดหลังผ่าตัด และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างคล่องตัวได้รวดเร็วมากขึ้น
สารบัญ
- หัวเข่ากับโครงสร้างภายในที่สำคัญ
- สาเหตุของอาการปวดและการผ่าตัดหัวเข่า
- วิธีการตรวจข้อเข่าก่อนผ่าตัด
- การผ่าตัดหัวเข่า ด้วยเทคนิคระงับปวด
- ใครบ้างที่ควรเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า
- การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหัวเข่า
- หลังผ่าตัดหัวเข่าควรพักฟื้นตัวนานแค่ไหน มีอะไรที่ควรระวังบ้าง?
- ผ่าตัดหัวเข่า หมดกังวลอาการปวดข้อเข่า
- ปรึกษาปัญหาสุขภาพ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
‘หัวเข่า’ กับโครงสร้างภายในที่สำคัญ


ข้อเข่า ประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง และกระดูกสะบ้า ที่ยึดติดกันด้วยเส้นเอ็นซึ่งเป็นส่วนปลายของกล้ามเนื้อ นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข้อเข่าแข็งแรง ผิวสัมผัสของกระดูกทั้งสามจะมีเยื่อบุข้อ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก และมีกระดูกอ่อนค่อนข้างหนาคลุมอยู่
โดยกระดูกอ่อนจะมีลักษณะเรียบ มันวาว และผิวลื่น ทั้งนี้เพื่อรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นขณะมีการเคลื่อนไหวข้อ และทำให้รูปร่างกระดูกพอดีกัน รวมถึงช่วยให้ข้อมั่นคง นอกจากนี้ ภายในข้อเข่ายังมีน้ำหล่อเลี้ยงที่ช่วยในการหล่อลื่นและถ่ายน้ำหนักอีกด้วย หากกระดูกอ่อนที่อยู่บริเวณข้อต่อเกิดการสึกหรอ เสื่อม หรือบางลง ข้อต่อจึงเสียดสีกันโดยตรง ทำให้เกิดอาการเจ็บ ปวด บวม และขยับได้ลำบาก จนเกิดเป็นภาวะข้อเข่าเสื่อมนั่นเอง
สาเหตุของอาการปวดและการผ่าตัดหัวเข่า
อาการปวดเข่าที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องได้รับการผ่าเข่า มักเป็นผลมาจากความเสียหายของโครงสร้างภายในข้อเข่าที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ ได้แล้ว โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
- โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด และนำไปสู่การผ่าตัดข้อเข่าเสื่อมเพื่อเปลี่ยนข้อเข่าเทียม มักเกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อ เมื่อกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับและลดแรงเสียดทานสึกหรอลง กระดูกจะเสียดสีกันโดยตรง ทำให้เกิดอาการปวด บวม ข้อฝืดขัด และมีเสียงดังในข้อขณะเคลื่อนไหว โดยสาเหตุของโรคนี้มาจากอายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัวมากเกินไป รวมถึงการใช้งานข้อเข่าผิดลักษณะหรือมากเกินไป
- การบาดเจ็บรุนแรงของข้อเข่า ในบางกรณี การบาดเจ็บเฉียบพลันที่รุนแรงอาจทำให้โครงสร้างสำคัญภายในข้อเข่าเสียหายอย่างถาวร จนต้องได้รับการผ่าตัดหัวเข่าเพื่อฟื้นฟูการทำงานของข้อเข่า เช่น เอ็นไขว้หน้า เส้นเอ็นอักเสบ หรือเอ็นอื่น ๆ ฉีกขาด หมอนรองกระดูกฉีกขาดอย่างรุนแรง กระดูกหักบริเวณข้อเข่า ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดข้อเข่าเสื่อมในระยะยาว
- โรคข้ออักเสบชนิดอื่น ๆ นอกจากข้อเข่าเสื่อมแล้ว โรคข้ออักเสบอื่น ๆ บางชนิดก็สามารถทำลายข้อเข่าอย่างรุนแรงจนต้องรับการผ่าตัดได้ เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ การติดเชื้อในข้อเข่า เป็นต้น
วิธีการตรวจข้อเข่าก่อนผ่าตัดหัวเข่า
ก่อนการผ่าตัดข้อเข่า ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายมีความพร้อมและเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดมากที่สุด รวมถึงวางแผนการผ่าตัดเข่าเสื่อมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีวิธีการตรวจหลัก ๆ ดังนี้
- การซักประวัติอย่างละเอียด ประวัติคนในครอบครัว ประวัติการบาดเจ็บข้อเข่า
- การตรวจร่างกายประเมินข้อเข่า เช่น ตรวจดูว่าสามารถเหยียดและงอเข่าได้มากน้อยเพียงใด มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวหรือไม่ ร่วมกับการประเมินความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้นำ
- การเอกซเรย์ข้อเข่า หากมีภาวะข้อเข่าเสื่อม ฟิล์มที่ปรากฏจะมองเห็นช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างข้อเข่าด้านบนและข้อเข่าด้านล่าง แสดงให้เห็นว่ามีการสึกหรอของกระดูกอ่อน และอาจมีการตรวจว่ามีกระดูกงอก มีการผิดรูปของข้อเข่าหรือไม่
- การเอกซเรย์ปอด เพื่อประเมินสภาพปอดและหัวใจก่อนการดมยาสล
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ
- การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI Scan) อาจพิจารณาตรวจ MRT ในกรณีที่ไม่แน่ใจในการวินิจฉัย หรือต้องการดูรายละเอียดของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น หมอนรองกระดูก ดูว่าเส้นเอ็นไขว้หน้าขาดหรือไม่ หรือตรวจเพื่อกระดูกอ่อนผิวข้อที่การ X-ray ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

การผ่าตัดหัวเข่า 2 รูปแบบ พร้อมเทคนิคระงับปวด


การผ่าตัดหัวเข่าที่พบบ่อยที่สุดคือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (Total Knee Arthroplasty: TKA)
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด เป็นการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพรักษาอาการปวดเข่าอย่างรุนแรง และมีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวที่เกิดจากภาวะข้อเข่าเสื่อมหรือโรคข้ออักเสบอื่น ๆ เป็นวิธีการรักษาภาวะข้อเข่าเสื่อมในระยะปานกลางถึงระยะรุนแรง โดยวิธีนี้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นวิธีสากลที่ให้ผลการรักษาดีที่สุด ทำให้หายปวดเข่า ข้อเข่ากลับมาเคลื่อนไหวได้ดีดังเดิม
ขั้นตอนการผ่าตัดด้วยวิธีนี้จะเป็นการนำผิวข้อเข่าส่วนที่เสื่อมสภาพหรือเสียหายออกทั้งหมด ทั้งส่วนปลายกระดูกต้นขา (Femur) ส่วนบนของกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) และอาจรวมถึงผิวด้านหลังของกระดูกสะบ้า (Patella) จากนั้นจึงทำการใส่ข้อเข่าเทียมที่ วัสดุทำมาจากโลหะผสม เช่น โคบอลต์-โครเมียม หรือไทเทเนียมและพลาสติกโพลีเอทิลีน ที่มีความหนาแน่นสูงเข้าไปแทนที่
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน (Unicompartmental Knee Arthroplasty - UKA)
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนเฉพาะส่วนของข้อเข่าที่เสื่อมเท่านั้น มักทำในกรณีที่ข้อเข่าเสื่อมเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ด้านในหรือด้านนอก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมไม่รุนแรงมากและยังเหลือกระดูกอ่อนที่ดีในส่วนอื่น
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลกับอาการปวดหลังผ่าตัด แพทย์จะใช้เทคนิคการระงับปวดโดยการฉีดยาชาบริเวณรอบเส้นประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nerve Block) ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี ลดความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่น ๆ เมื่ออาการปวดลดลงก็สามารถเริ่มทำกายภาพบำบัดและเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล ฟื้นตัวระยะสั้น ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เร็ว และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ไวขึ้น
ใครบ้างที่ควรเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่า
การตัดสินใจเข้ารับการผ่าหัวเข่า ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วนหรือทั้งหมด เป็นการตัดสินใจที่สำคัญซึ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบร่วมกันระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ควรเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่ามักจะมีลักษณะหรืออาการดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมที่มีการสึกหรอและเสื่อมสภาพ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากภาพถ่ายรังสี
- ผู้ที่มีอาการปวด บวม ตึงข้อเข่า ปวดเข่ารุนแรงและเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
- ผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล เช่น การรับประทานยาแก้ปวด ยารักษาเข่าเสื่อม ยาต้านการอักเสบ การฉีดน้ำเลี้ยงข้อ การทำกายภาพบำบัด หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่หายปวดเข่า
- ผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหวอย่างมาก ไม่สามารถเหยียดหรือพับเข่าได้เต็มที่ ทำให้เดินลำบาก ไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้ ข้อเข่ามีอาการติดขัด ล็อก หรือมีเสียงผิดปกติขณะเคลื่อนไหว
- มีการบาดเจ็บรุนแรง ทำให้โครงสร้างข้อเข่าเสียหายถาวร
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหัวเข่า
การเตรียมตัวที่ดีก่อนเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการผ่าตัดและการฟื้นตัวที่รวดเร็ว เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยควรเตรียมพร้อมดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้วต่อวั
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เพื่อลดภาระของข้อเข่าและช่วยให้การฟื้นตัวง่ายขึ้น
- บริหารกล้ามเนื้อทุกส่วนให้แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขา ซึ่งจะช่วยพยุงข้อเข่าและทำให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดดีขึ้น
- เลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น การเดิน เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน
- ฝึกบริหารปอดด้วยการหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ บ่อย ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดมยาสลบ
- ตรวจเช็กร่างกาย หากมีแผล มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง หรืออาการปวดแสบขัดขณะปัสสาวะ (ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของทางเดินปัสสาวะอักเสบ) ควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาให้หายดีก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ข้อเข่าเทียม
- ดูแลสุขภาพช่องปาก ควรทำฟัน อุดฟัน หรือขูดหินปูนให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากช่องปาก
- งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน อย่างน้อย 7 วันก่อนผ่าตัด หรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะเลือดออกมากผิดปกติระหว่างและหลังผ่าตัด
- ทำจิตใจให้สงบและผ่อนคลาย ความวิตกกังวลสามารถส่งผลต่อการฟื้นตัวได้
- จัดหาผู้ดูแลเพื่อช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวันในช่วงหลังผ่าตัดเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย
หลังผ่าตัดหัวเข่าต้องพักฟื้นตัวนานแค่ไหน มีอะไรที่ควรระวังบ้าง?


หลังจากผ่าตัดหัวเข่า ระยะเวลาในการพักฟื้นและการดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาพักฟื้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด สภาพร่างกายของผู้ป่วย และความมุ่งมั่นในการทำกายภาพบำบัด ดังนี้
- โดยทั่วไปจะพักในโรงพยาบาลก่อนผ่าตัด 1 วัน โดยใช้เวลาผ่าตัดประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง
- ประมาณวันที่ 2 หลังผ่าตัด แพทย์จะเริ่มให้ยืน เดินโดยใช้ที่เกาะเดิน 4 ขา ค่อย ๆ เดินลงน้ำหนักจนเดินได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
- นอนพักในโรงพยาบาลประมาณ 3-5 วันหลังผ่าตัด
- นัดตรวจและตัดไหมประมาณ 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด ในระยะนี้ผู้ป่วยยังอ่อนเพลีย เดินยังไม่สะดวก ญาติจึงควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการหกล้ม และช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ
- ในช่วง 6 สัปดาห์ - 3 เดือน ผู้ป่วยจะเริ่มเดินได้ดีขึ้น อาจไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแล้ว จะเน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า และเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของเข่าให้กลับมาเป็นปกติมากที่สุด
- ในช่วง 3-6 เดือน หรือนานกว่านั้น ข้อเข่าจะมีความแข็งแรงและมั่นคงมากขึ้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ได้ รวมถึงกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน แต่การกลับไปทำกิจกรรมที่มีแรงกระแทกสูง หรือการเล่นกีฬาที่ต้องบิดหมุนเข่า อาจต้องใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น โดยอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด
ผ่าตัดหัวเข่า หมดกังวลอาการปวดข้อเข่า
การผ่าตัดหัวเข่าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายเสมอไป แต่เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาเมื่อการรักษาอื่นไม่ได้ผล โดยปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีและเทคนิคระงับปวด ช่วยให้ฟื้นตัวได้ในระยะสั้นและเจ็บน้อยลง
หากมีอาการปวดเข่า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลนครธน เราพร้อมด้วยศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ) ที่มีประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะทางในการผ่าตัดข้อเข่าโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมบางส่วน มั่นใจได้ว่าจะได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดอาการปวด และสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง
ช่องทางติดต่อโรงพยาบาลนครธน:
- - Website : https://www.nakornthon.com
- - Facebook : Nakornthon Hospital
- - Line : @nakornthon
- - Tel: 02-450-9999 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพแบบออนไลน์
ไม่เสียค่าใช้จ่าย
บทความทางการแพทย์ศูนย์กระดูกและข้อ